ขนาดการค้าของจีนใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก
จีนได้ก้าวกระโดดแซงหน้าสหรัฐฯ
ในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดใหญ่สุดของโลก เป็นครั้งแรกหลังจากสหรัฐฯ
ครองตำแหน่งนี้หลังสิ้นสุดสงครามโลก
มูลค่าการค้าทั้งในรูปส่งออก
และนำเข้าซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 3.82 ล้านล้านดอลลาร์
ในขณะที่หน่วยงานศุลกากรจีน (ตัวเลขนำเข้า-ส่งออก) ได้ประกาศตัวเลขยอดรวมของประเทศออกมาอยู่ที่
3.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวของจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการนำเข้าซึ่งมีอัตราขยายตัวเร็วกว่าการส่งออก
มีแนวโน้มการขยายตัวมาตลอดนับแต่ปี 2007
จีนมีดุลการค้าเกินดุลกับต่างประเทศทั้งหมด
727.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งจากตัวเลขนี้เป็นตัวเลขการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐถึง
231.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อนึ่งนักวิเคราะห์วิเคราะห์ และมองว่า
เนื่องจากจีนนับค่าสถิติบนพื้นฐานปีต่อปี
ซึ่งปีใหม่ตามจันทรคติของจีนในรอบปีดังกล่าว กินเวลายาวนานกว่าในปีที่ผ่านมา
(ตรุษจีนปี 2012 ตรงกับเดือนมกราคม ตรุษจีนปี 2013 ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์)
อย่างไรก็ดี กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วไปของจีนโดยรวมก็เป็นที่น่าประทับใจ และมองเห็นการเติบโตในภาคบริการ
และภาคการผลิตด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนมกราคมที่เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นถึง
46.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขายไปได้ถึง 2.03
ล้านคัน สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) กล่าวว่า ยอดการผลิตส่งมอบเฉลี่ยในแต่ละเดือนยังเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ด้วยตัวเลข
1.96 ล้านคัน หรือ 51.17%
ข้อมูลเหล่านี้ คงจะช่วยช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวว่าจีนอาจเผชิญสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงแม้จะมีการเร่งการการเจริญเติบโตในประเทศ
ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศส Société Générale กล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า
ยังมีโอกาสที่จะเกิดการ “ชะลอตัวอย่างหนัก” หากการเจริญเติบโตลดลงไปต่ำกว่า
6%
ซึ่งต่ำเป็นอย่างมากสำหรับจีน
นักเศรษฐศาสตร์แห่งมูดีส์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
"สภาวการณ์ชะลอตัวอาจเป็นไปได้ภายในสิ้นปีถ้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไม่มีออกมาอย่างเพียงพอ
และทางปักกิ่งคงไม่อยากให้เป็นเช่นกัน
เพราะยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อแฝงเพิ่มเข้ามา ซึ่งรวมกับตัวเลขการส่งออกที่คาดว่าจะมีการเติบโตในระดับปานกลางในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว" อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้ก็สร้างความมั่นใจในระดับหนึ่ง
สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ ซุน จุนเว่ย นักเศรษฐศาสตร์แห่ง HSBC ประจำกรุงปักกิ่งกล่าวว่า "ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลสำหรับการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของจีนในปีนื้ทั้งปี"