Showing posts with label China economic. Show all posts
Showing posts with label China economic. Show all posts

2.13.2013

ขนาดการค้าของจีนใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก


ขนาดการค้าของจีนใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก

จีนได้ก้าวกระโดดแซงหน้าสหรัฐฯ ในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดใหญ่สุดของโลก เป็นครั้งแรกหลังจากสหรัฐฯ ครองตำแหน่งนี้หลังสิ้นสุดสงครามโลก
มูลค่าการค้าทั้งในรูปส่งออก และนำเข้าซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รวมอยู่ที่ 3.82 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่หน่วยงานศุลกากรจีน (ตัวเลขนำเข้า-ส่งออก) ได้ประกาศตัวเลขยอดรวมของประเทศออกมาอยู่ที่ 3.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขดังกล่าวของจีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขการนำเข้าซึ่งมีอัตราขยายตัวเร็วกว่าการส่งออก มีแนวโน้มการขยายตัวมาตลอดนับแต่ปี 2007  
จีนมีดุลการค้าเกินดุลกับต่างประเทศทั้งหมด 727.9 พันล้านเหรียญ ซึ่งจากตัวเลขนี้เป็นตัวเลขการได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐถึง 231.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อนึ่งนักวิเคราะห์วิเคราะห์ และมองว่า เนื่องจากจีนนับค่าสถิติบนพื้นฐานปีต่อปี ซึ่งปีใหม่ตามจันทรคติของจีนในรอบปีดังกล่าว กินเวลายาวนานกว่าในปีที่ผ่านมา (ตรุษจีนปี 2012 ตรงกับเดือนมกราคม ตรุษจีนปี 2013 ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์)
อย่างไรก็ดี กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วไปของจีนโดยรวมก็เป็นที่น่าประทับใจ และมองเห็นการเติบโตในภาคบริการ และภาคการผลิตด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนมกราคมที่เพิ่มสูงขึ้นถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้นถึง 46.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขายไปได้ถึง 2.03 ล้านคัน สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ของจีน (CAAM) กล่าวว่า ยอดการผลิตส่งมอบเฉลี่ยในแต่ละเดือนยังเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ด้วยตัวเลข 1.96 ล้านคัน หรือ 51.17%
ข้อมูลเหล่านี้ คงจะช่วยช่วยบรรเทาอาการหวาดกลัวว่าจีนอาจเผชิญสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำถึงแม้จะมีการเร่งการการเจริญเติบโตในประเทศ
ธนาคารสัญชาติฝรั่งเศส Société Générale กล่าวเมื่อเดือนที่ผ่านมาว่า ยังมีโอกาสที่จะเกิดการ ชะลอตัวอย่างหนัก หากการเจริญเติบโตลดลงไปต่ำกว่า 6% ซึ่งต่ำเป็นอย่างมากสำหรับจีน
นักเศรษฐศาสตร์แห่งมูดีส์กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า "สภาวการณ์ชะลอตัวอาจเป็นไปได้ภายในสิ้นปีถ้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมไม่มีออกมาอย่างเพียงพอ และทางปักกิ่งคงไม่อยากให้เป็นเช่นกัน เพราะยังมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อแฝงเพิ่มเข้ามา ซึ่งรวมกับตัวเลขการส่งออกที่คาดว่าจะมีการเติบโตในระดับปานกลางในภาวะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว" อย่างไรก็ดี ข้อมูลที่ได้ก็สร้างความมั่นใจในระดับหนึ่ง
 สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของ ซุน จุนเว่ย นักเศรษฐศาสตร์แห่ง HSBC ประจำกรุงปักกิ่งกล่าวว่า "ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลสำหรับการฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งของจีนในปีนื้ทั้งปี"

2.09.2013

Chinese hacker was suspected attacking Western Media.


Chinese hacker was suspected attacking US Media.

Last week we learned that the computers systems of The New York Times had been suspected attacking by Chinese hackers following publication of its story on Prime Minister Wen Jiabao's accumulation of wealth over his period. Then it quickly came out that The Washington Post andThe Wall Street Journal had also been hacked.
This follows in the wake of the Chinese hacking of Google and a variety of other companies. The hacking seems to be tied in some way to the Chinese government and apparently has various motives, ranging from identifying sources for stories on China to distorting markets in favor of native Chinese companies.
เพิ่มคำอธิบายภาพ
In the case of Google, the attacks resulted in significant destruction of its business and its displacement as the leader in the Chinese market by the Number 1 Chinese search engine Baidu which it is expanding to many countries.
The enthusiasm over the past decade of foreign businesses to invest, produce, and sell in China has been fueled primarily by two assumptions. One is that China has truly chosen the capitalist road and that business is a matter of free market competition without government interference. In the other hands is that the costs of doing business are extraordinarily low in China and therefore, to be globally competitive, a company has no choice come to there.
It is now clear that both of these assumptions are false. China is only halfway onto the capitalist road. Government has not withdrawn from the economy and especially not from control of information. Moreover, the government wants Chinese companies to succeed and predominate in a wide variety of industries. A consequence of all this is that the hidden cost of doing business in China can be very high. Indeed, far from having to produce in China to be globally competitive, it may well be the case that in order to survive globally a company must avoid producing in China.
Certainly any significant business needs to be extremely careful in how it deploys and operates in China. It will almost inevitably become, if it already isn't, a target for hacking and electronic espionage. It must understand that even more than in other environments, in China, business is war.
It must also understand that business is often a matter of national strategy and of nationalist sentiment in China. That means it will be under observation not only by business competitors but perhaps also by the government or government-linked entities. In calculating the true costs of producing and doing business in China, it is important to incorporate these factors into the equation. The true costs may be much higher than the estimates made by the business accountants based simply on normal business costs.

2.08.2013

สงครามธุรกิจในจีน

chinese hacker

The business is war in China

เมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2013 ที่่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์ของ The New York Times ถูกโจมตี ซึ่งถูกต้องสงสัยว่ามาจากเหล่าแฮกเกอร์ชาวจีน ซึ่งตะวันตกคาดกันว่ามาจากการเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับความร่ำรวยของนายกฯ เหวิน เจีย เป่า ในช่วงระหว่างการบริหารประเทศ ต่อมาเวบไซท์ของ วอชิงตันโพสต์  และ หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล  ก็ได้โดนทะลวงระบบเช่นกัน

ซึ่งต่อไป อาจมีการความตื่นตัวของแฮคเกอร์จีน เพื่อเข้าทะลวง Google และ บริษัทอื่น ๆ ตามมา จึงเริ่มมีข้อสงสัยตามมาว่าระบบการแฮ็คดูเหมือนจะเชื่อมโยงในแง่ที่มีแรงจูงใจจากทางรัฐบาลปักกิ่ง

ในกรณีของ Google, การโจมตีมีผลอย่างมีนัยสำคัญของธุรกิจ และรวมถึงการขึ้นแท่นในฐานะผู้นำของ Baidu ซึ่งเป็น search engine อันดับหนึ่งของจีน และสยายปีกธุรกิจออกไปยังต่างแดนหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงเวอร์ชั่น ภาษาไทย

ความตื่นตัวในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาของนักธุรกิจต่างชาติที่จะลงทุนผลิต และขายในประเทศจีน ได้รับการผลักดันหลักโดยสมมติฐานหลัก 2 ประการ หนึ่งคือการที่ประเทศจีนได้รับการยอมรับว่า เดินในระบอบทุนนิยมอย่างแท้จริง การแข่งขันในตลาดเสรีเป็นไปโดยไม่มีการแทรกแซงจากทางภาครัฐ และการแทรกแซงอื่น ๆ  ส่วนอื่นก็เป็นเพียงต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่ต่ำเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเหตุผลให้เกิดการแข่งขันของบริษัททั่วโลก ผลิตสินค้าที่นั่นโดยไม่มีทางเลือก

ตอนนี้มันเป็นที่ชัดเจนว่าสมมติฐานเหล่านั้นไม่จริง ประเทศจีนเดินในระบอบเศรษฐกิจทุนนิยมเพียงครึ่งเดียว รัฐบาลยังไม่ได้ถอนตัวออกจากระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้ทางปักกิ่งยังต้องการให้ บริษัทสัญชาติจีนประสบความสำเร็จ และครอบงำในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งผลที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายที่ซ่อนอยู่ในการดำเนินธุรกิจในแผ่นดินจีน

แน่นอนใด ๆ ทางธุรกิจ ต้องมีการระมัดระวังอย่างมากในการปรับใช้วิธีการ และการดำเนินการในแผ่นดินจีน มันอาจไม่เกิดขึ้นกับคุณ แต่มันอาจเกิดขึ้นกับคุณได้ทุกเมื่อที่จะเป็นเป้าหมายของการจารกรรมข้อมูลทางอินเตอร์เนต ในประเทศจีนธุรกิจคือสงคราม

นอกจากนี้ยังจะต้องเข้าใจในตัวธุรกิจ ซึ่งเป็นมากกว่าธุรกิจที่มักจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์ระดับชาติ รวมถึงความรู้สึกชาตินิยมของคนจีน นั่นหมายถึงว่า เราไม่ได้ถูกสังเกตแค่เฉพาะจากคู่แข่งทางธุรกิจ แต่บางทีก็อาจมาจากรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง การรวมปัจจัยเหล่านี้ลงในสมการค่าใช้จ่ายที่แท้จริง อาจสูงกว่าที่ถูกฝ่ายบัญชีประมาณการที่จัดทำโดยนักบัญชี จากการประเมินเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจปกติ

1.14.2013

ความขัดแย้งของจีนในภูมิภาค / China disputes in the region


ฟิลิปปินส์ร้องขอความช่วยเหลือจากญี่ปุ่นท่ามกลางความขัดแย้งกับจีน

Philippines asks Japan for help amid China dispute

Jim Gomez, The Associated Press, Manila | World | Thu, January 10 2013, 9:05 PM

Delicious Delicious
ฟิลิปปินส์ได้ขอเรือลาดตระเวน และอุปกรณ์สื่อสารจากประเทศญี่ปุ่นเพื่อปรับปรุงเรื่องของการรักษาความปลอดภัยอาณาเขตน่านน้ำของตนในการประชุมระหว่างนักการทูตชั้นนำเมื่อวันพฤหัสบดี ที่แสดงสัญญาณเตือนในความขัดแย้งกับจีนในเรื่องของอาณาเขตน่านน้ำ
รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ อัลเบิร์ต เดลโรซากล่าวว่าญี่ปุ่นจะพิจารณาให้เรือลาดตระเวน 10 ลำ และระบบสื่อสาร แก่หน่วยยามลาดตระเวณชายฝั่งของกรุงมะนิลา เขากล่าวว่า เขาและรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นฟูมิโอะ คิชิดะ ยังกล่าวถึงวิธีการที่จะหนุนการค้าการลงทุนการท่องเที่ยวและความร่วมมือด้านการรักษาความปลอดภัยทางทะเล
ญี่ปุ่นเองก็ได้ขัดแย้งกับจีน ในเรื่องของหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเรียกว่าเซนคากุในภาษาญี่ปุ่น และเตียวหยูในภาษาจีนซึ่งเกาะดังกล่าวยังถูกอ้างสิทธิการครอบครองโดยจีน และไต้หวัน ในน่านน้ำดังกล่าวที่ญี่ปุ่นครอบครอง
ความตึงเครียดในหมู่เกาะเล็ก ๆ ดังกล่าวรุนแรงขึ้นหลังจากรัฐบาลกรุงโตเกียวซื้อเกาะดังกล่าวมาจากเจ้าของชาวญี่ปุ่นเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา (2012) ซึ่งทันใดนั้นก็กระตุ้นให้เกิดการประท้วงในจีนต่อการถือสิทธิการครอบครอง รวมถึงการคว่ำบาตรสินค้าญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ข้อพิพาทที่ค้างคามานานของหมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ระหว่างจีน และฟิลิปปินส์ ได้ก่อให้เกิดความความตึงเครียด และขัดแย้งในปีที่ผ่านมาในแหล่งประมงที่อุดมสมบูรณ์ของ Scarborough Shoal, ซึ่งก่อให้เกิดการปะทะของวิวาทะที่ร้อนแรง และความสัมพันธ์
หลายฝ่ายได้แสดงความกังวลว่า ปัญหาพิพาทในดินแดนข้อพิพาทดังกล่าว จะจุดประกายความขัดแย้งของภูมิภาคต่อไปเรื่อย ๆ

เดล โรซาริโอ กล่าวว่าเขาและคิชิดะแสดง "ความกังวลร่วมกัน" ในข้อพิพาท และการดำเนินการเชิงรุกโดยจีนในการยืนยันการอ้างสิทธิเหนือดินแดน ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือความเป็นไปได้ในการเรียนรู้จากกลยุทธ์ของแต่ละฝ่ายในการดำเนินการจัดการกับความขัดแย้งอย่างสงบบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ
china news updated
"ผมคิดว่าเราทุกฝ่ายเข้าใจว่า การอ้างการครอบครองดังกล่าวยึดถือตามเส้นที่ลากเองโดยจีน Nine-dash-line ซึ่งส่งผลต่อ การก่อภัยคุกคามต่อความมั่นคงของภูมิภาค" ซึ่งเขาหมายถึงแผนที่จีนอย่างเป็นทางการซึ่งทับซ้อนกับเส้นที่แสดงถึงสิทธิการครอบครองที่อ้างโดยรัฐบาลกรุงปักกิ่งในทะเลจีนใต้

นายโรซาริโอ แถลงข่าวหลังจากการประชุมกับนายคิชิดะ ว่า เรายังเฝ้าดูถึงเหตุอันอาจเกิดขึ้นต่อเสรีภาพ และผลกระทบในการเดินเรือ

นาโอโกะ ไซกิ โฆษกของนายคิชิดะกล่าวว่า ญี่ปุ่น สนใจ และกังวลอย่างมาก กับท่าทีของจีนในภูมิภาคดังกล่าว และการความคืบหน้าล่าสุดในทะเลจีนใต้ เธอกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า ฉันคิดว่ากฎหมายต้องได้รับการส่งเสริม และบังคับใช้"

เธอกล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นภายใต้การเลือกตั้งใหม่ของนายกฯ ชินโซะ อาเบะ มุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างแข็งขัน และกระตือรือร้น ในการเป็นสมาชิกที่รับผิดชอบ ของประชาคมระหว่างประเทศในการที่จะรักษา และเสริมสร้างสันติภาพ และความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
china news updated
นายเดล โรซาริโอกล่าวว่า ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เบนินโย อาคีโนซึ่งได้พบกับนายคิชิดะคิดถึง ความเข้มแข็งของญี่ปุ่น จะเป็นเหมือนที่คานอำนาจในภูมิภาค ในการที่จะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพ
นายเดล โรซาริโอกล่าวว่า ฟิลิปปินส์ยังร้องขอ เรือตรวจการชายฝั่งที่ทำงานได้หลายบทบาท และระบบสื่อสาร จะต้องได้รับการรับรองโดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นก่อนที่จะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อได้รับการอนุมัติเรือลาดตระเวนลำแรกอาจถูกส่งเข้ามาประจำการในช่วงต้นปีนี้
ฟิลิปปินส์มีกองกำลังทหารที่อ่อนแอ ซึ่งได้เปิดให้กองกำลังของสหรัฐเข้ามาตาม สนธิสัญญาป้องกัน รวมถึงประเทศอื่น ซึ่งทำให้กองเรืออันทันสมัย และระบบที่ดีกว่าเข้ามาช่วยในการตรวจการแนวชายฝั่งที่กว้างขวาง และน่านน้ำรวมทั้งพื้นที่ที่อุดมด้วยน้ำมันและก๊าซ ในบริเวณทะเลจีนใต้
ถึงแม้ว่ามันจะถูกอ้างว่า เป็นไปเพื่อการรักษาความสงบ แต่รัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ได้กล่าวว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการพัฒนาความสามารถในการป้องกันขั้นต่ำ ต่อการกีดกั้นการรุกล้ำและการโจมตีโดยกองเรือต่างชาติ


1.06.2013

China services sector growth มองเห็นการเติบโตขึ้นในภาคบริการของจีน

China services sector sees growth pick up

The non-manufacturing PMI is a measure that covers retail, aviation, property and construction。The service sector in China has expanded at its fastest pace for four months, adding to evidence that an economic rebound might be sustained. The non-manufacturing purchasing managers' index (PMI) rose to 56.1 in December from 55.6 in November. A reading above 50 indicates expansion. The data also showed that the construction sector had seen strong growth in new orders. However, some analysts said the rebound was subdued.
"Absolute levels of both December manufacturing and non-manufacturing PMIs remain relatively low by historical standards and consistent with only modest rebound in economic activity," said Dariusz Kowalczyk from Credit Agricole. The non-manufacturing PMI is a measure of the service sectors including retail, but also includes property and construction. Earlier this week, manufacturing activity indexes for China also showed signs of improvement. However, exports continue to show weakness as the global economic picture remains bleak.
Source: BBC Jan 03, 2013

1.05.2013

China new hope or more debt???

China's economy is slowing, local authorities are piling on debt and banks are setting aside more money as loans sour.

The economy could slow below the government's target of 7.5 per cent. Anywhere else, such growth would be to die for, but for China anything below seven per cent could see millions joining the jobless - a prospect that could lead to social unrest.

What's the solution? More stimulus or allowing the yuan to depreciate against the dollar.
China has announced a total of 8tn yuan ($1.26tn) of "stimulus projects" to try to boost confidence in an economy that appears to be cooling faster than expected.
That could be a lot of hot air. For now, there is little appetite to do anything. China is rudderless until a new Communist Party leadership is installed.

    "They are sending out the message that they want to stimulate the economy, but in reality that is not going to happen," influential independent China economist, Andy Xie, told the Reuters news agency. "About the only tool left to them now is propaganda."

The Chinese leadership has been reluctant to throw money at its economic problems, like it did during the economic crisis in 2008. Then it spent 4 trillion yen or $630bn dollars to register growth of more than 9 per cent.

So why not spend the money? Does Beijing know something that it isn't telling the rest of the world?

China's debt-to-GDP-ratio stands officially at 16.3 per cent. The problem is that excludes China's hidden liabilities. Debts held by ministries and provinces. Analysts put Beijing's debt in the region of 90 to 160 per cent.
    

According to China's National Audit Office, local governments had amassed about $1.7tn of debt by the end of 2010, about 27 per cent of the country's GDP, but other estimates put the number at almost twice that.

Jonathan Kaimah goes on to write in his Foreign Policy article, China's Debt Bomb, that the municipality of Tianjin could be the potential ground zero for the Chinese real-estate meltdown.
The city borrowed almost $64bn to build industrial and residential parks to attract big business.
In fact after China's massive stimulus programme there has been some blowback. Chinese banks are going after some debtors in the steel industry.

    By the end of last year, China's steel industry 
had a total debt burden of $400bn - around the size of South Africa's economy. Some of China's leading mills alone owe 200-300bn yuan ($32-$47bn), according to the China Iron and Steel Association.

It goes without saying that such a huge buildup of debt could cripple the economy, damage global prospects and seriously erode confidence in BeijingThe new leadership could have a plan and come up smelling of roses.

    "A bad year is not the end of the world for the Party. The new leaders come in, turn things around in 2013 and look like heroes," Tim Condon, head of Asian economic research at ING in Singapore, told Reuters news agency, adding that aggressive stimulus would thwart policies to fight speculation and rebalance the economy.
"What they seem to be saying is that they are not going to take the easy way and double down on the command and control policies, but stay on the course of market-oriented reform," Condon said.
"That's a really positive story - if it's true."

Aljazeera // China: New hope, or more debt? Sep 3, 2012


เศรษฐกิจของจีนอยู่ในภาวะชะลอตัว, รัฐบาลท้องถิ่นซ่อนหนี้ และแบงค์มีการกันเงินมากขึ้นเผื่อกรณีผิดนัดชำระ

เศรษฐกิจอาจจะชะลอต่ำกว่าเป้าหมายของรัฐบาลที่ 7.5 เปอร์เซ็นต์ แน่นอนว่าที่ใดมีอัตราการเติบโต ที่นั่นก็จะมีการพัฒนาเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ใช่สำหรับจีน เพราะอัตราการเติบโตทุกอย่างล้วนต่ำกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสะท้อนจากอัตราการว่างงาน ซึ่งอาจนำไปสู่​​ความวุ่นวายทางสังคม

การแก้ปัญหาคืออะไร? กระตุ้นมากขึ้นหรือช่วยให้หยวนอ่อนค่าไปเมื่อเทียบกับดอลลาร์
จีนได้ประกาศโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ารวม 8ล้านล้านหยวน (1.26 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อพยายามที่จะสร้างความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะลดความร้อนแรงเร็วกว่าที่คาดการณ์
นั่นอาจดูเหมือนเป็นการสร้างบรรยากาศที่ร้อนแรง ในขณะที่มีการดำเนินการต่อมาตรการดังกล่าวน้อยมากในตอนนี้ ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะจีนอยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลง และแต่งตั้งผู้นำพรรคคอมมูนิสต์รุ่นใหม่
    "พวกเขากำลังจะส่งสารออกไปว่า พวกเขาต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรเกิดขึ้น" Andy Xie นักเศรษฐศาสตร์อิสระผู้มีอิทธิพลของจีนกล่าวแต่สำนักข่าวรอยเตอร์ "เครื่องมือเดียวที่พวกเขาใช้อยู่ตอนนี้คือโฆษณาชวนเชื่อ."


ผู้นำจีนเกิดความลังเลในการทุ่มเงินให้แก่ปัญหาเศรษฐกิจ เหมือนกับที่เคยทำมาก่อนเมื่อคราวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ตอนนั้นเงินถูกใช้ไป 4 ล้านล้านหยวน หรือ 630,000 ล้านยูเอสดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่า 9%

ดังนั้นทำไมไม่ใช้จ่ายเงิน? หรือรัฐบาลปักกิ่งรู้บางสิ่ง ซึ่งยังไม่ได้บอกส่วนที่เหลือแก่โลกภายนอก


อัตราส่วนหนี้สินของจีนต่อจีดีพีอย่างเป็นทางการของจีนอยู่ที่ 16.3% แต่ปัญหาคือยังมีหนี้สินอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกซ่อนไว้ซึ่งไม่ถูกรวม เช่นหนี้ที่ถือโดยรัฐบาลท้องถิ่น และหน่วยงานกระทรวง นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดว่าหนี้สินรวมของรัฐบาลปักกิ่งอยู่ที่ 90 ถึง 160%

    สอดคล้องกับที่สำนักงานตรวจสอบแห่งชาติของจีน หากรวมตัวเลขหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่นเขาไว้ด้วยกันตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2010 จะอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้านล้านเหรียญ หรือ 27% ของจีดีพีประเทศ แต่ตัวเลขประมาณการณ์อื่น ๆ กลับใส่ตัวเลขที่มากกว่าเกือบสองเท่า
Jonathan Kaimah ได้เขียนบทความนโยบายต่างประเทศไว้ในหัวข้อ China's Debt Bomb ว่าเทศบาลนครเทียนจินมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดการพังทลายของภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

เทศบาลได้กู้ยืมเงินเกือบ 64,000 ล้านเหรียญเพื่อก่อสร้างศูนย์อุตสาหกรรม และที่อยู่อาศัยเพื่อดึงดูดภาคธุรกิจขนาดใหญ่
ในความเป็นจริงหลังจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ของจีนก็เหมือนการต่อลมหายใจให้แก่ธนาคารจีนให้เดินต่อไปได้ จากปัญหาลูกหนี้บางรายในอุตสาหกรรมเหล็ก
    เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเหล็กของจีนมีภาระหนี้รวมอยู่ที่ 4 แสนล้านเหรียญ - ประมาณขนาดของเศรษฐกิจของแอฟริกาใต้ โรงงานเหล็กชั้นนำบางแห่งของจีนมีพุ่งขึ้นไปถึง 2 3 แสนล้านหยวน (32 – 47 พันล้านเหรียญ) สอดคล้องกับตัวเลขของสมาคมเหล็กและเหล็กกล้าของจีน

มาตรการดังกล่าวอาจไปต่อได้ โดยไม่ต้องพูดถึงเรื่องหนี้สะสมที่อาจก่อให้เกิดความอ่อนเปลี้ยทางเศรษฐกิจ ทำลายความคาดหวังต่อเศรษฐกิจโลก และสามารถกัดกร่อนความเชื่อมั่นของรัฐบาลปักกิ่ง
ผู้นำคนใหม่อาจมีแผนและมาพร้อมกับกลิ่นกุหลาบ

 "ปีที่แย่ ๆ ไม่ได้จบไปพร้อมกับจุดจบของพรรค กลุ่มผู้นำใหม่ที่เข้ามา อาจพลิกโฉมเปลี่ยนแปลงในปี 2013 และดูเหมือนวีรบุรุษ" Tim Condon, หัวหน้าฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจเอเชียแห่งไอเอ็นจีสิงคโปร์กล่าวแก่สำนักข่าวรอยเตอร์ เสริมด้วยมาตรการกระตุ้นเชิงรุกเพื่อขัดขวางนโยบายต่อสู้การเก็งกำไรและถ่วงดุลทางเศรษฐกิจ

"สิ่งที่พวกเขาดูเหมือนจะพูดคือ พวกเขาไม่ดำเนินการในวิถีทางง่าย ๆ และถ่ายทอดอำนาจ สั่งการ และควบคุมนโยบาย แต่ก็ยังอยู่ในแบบแผนของการปฏิรูปเศรษฐกิจแบบชี้นำอยู่" Condon กล่าว

"ถ้ามันเป็นความจริง ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ"